สมมุติฐาน (Hypothesis)
หมายถึง คำตอบที่คาดคะเนไว้ล่วงหน้าอย่างสมเหตุสมผล
สมมุติฐานที่ผู้วิจัยตั้งขึ้นไม่จำเป็นต้องถูกเสมอไป แต่ต้องมั่นใจว่าได้คาดคะเนคำตอบอย่างสมเหตุสมผลแล้ว โดยทำการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่จะทำวิจัย จนเกิดความชัดเจนในปัญหา และเห็นแนวทางของคำตอบว่าน่าจะเป็นไปในลักษณะใด ก่อนคาดคะเนคำตอบ
สมมุติฐานในการทำวิจัย มี 2 ประเภท คือ สมมุติฐานทางสถิติ ( Statistical Hypothes) กับสมมุติฐานทางการวิจัย (Research Hypothesis) ในหน้านี้จะกล่าวเฉพาะ สมมุติฐานทางการวิจัยเท่านั้น
สมมุติฐานทางการวิจัย เป็นคำตอบของปัญหาการวิจัยที่ผู้วิจัยคาดคะเนไว้อย่างสมเหตุสมผล โดยใช้ข้อความบรรยาย และปรากฎอยู่ในรายงานวิจัย มีลักษณะที่สำคัญ 3 ประการ คือ
1. สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การวิจัย
2. แสดงความสัมพันธ์ของตัวแปรตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไป
3. ทดสอบได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ หรือวิธีการทางสถิติ
สมมุติฐานทางการวิจัย แบ่งเป็นสองประเภท
1. สมมุติการการวิจัยแบบไม่มีทิศทาง (Nondirectional Hypothesis) คือ สมมุติฐานที่เขียนโดยไม่ระบุทิศทางความสัมพันธ์ของตัวแปร เพียงแค่ระบุว่าแตกต่างกัน หรือสัมพันธ์กัน เช่น นักเรียนในชนบทกับนักเรียนในเมืองมีปัญหาในการสิบค้นข้อมูลแตกต่างกัน
2. สมมุติการการวิจัยแบบมีทิศทาง (Directional Hypothesis) คือ สมมุติฐานที่เขียนโดยระบุทิศทางความสัมพันธ์ของตัวแปรไว้อย่างชัดเจน ว่าคำตอบจะเป็นไปในทางบวก หรือลบ สูง หรือต่ำ มากหรือน้อย เช่น นักเรียนในชนบทมีปัญหาในการสิบค้นข้อมูลมากกว่านักเรียนในเมือง
การตั้งสมมุติฐานทางการวิจัยแบบมีทิศทางหรือไม่มีทิศทาง ขึ้นอยู่กับการค้นคว้าเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องว่าได้ข้อมูลที่มีแนวโน้มอย่างไร ถ้าข้อมูลมีแนวโน้มไปทางใดทางหนึ่งมากพอที่จะยืนยันได้ ให้ตั้งสมมุติฐานทางการแบบมีทิศทาง ถ้ามีข้อมูลไม่มากพอ ให้ตั้งสมมุติฐานทางการวิจัยแบบไม่มีทิศทาง
ตัวอย่างการกำหนดสมมุติฐานทางการวิจัย
วัตถุประสงค์ของการวิจัย : 1. เพื่อศึกษาพฤติกรรมการสอนของครูอัตรจ้างในโรงเรียน
มัธยมศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร
(วัตถุประสงค์การวิจัยในข้อ 1 ไม่ได้แสดงความสัมพันธ์ของ
ตัวแปร ไม่ต้องกำหนดสมมุติฐาน)
2. เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมการสอนของครูอัตราจ้างในโรงเรียน
มัธยมศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานครที่มีประสบการณ์สอน
ต่างกัน
สมมุติฐานการวิจัย : 1. ครูอัตราจ้างในโรงเรียนมัธยมศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานครที่มี
ประสบการณ์สอนแตกต่างกันมีพฤติกรรมการสอนแตกต่างกัน
ตัวแปร
ตัวแปร คือ ลักษณะของสิ่งที่ต้องการศึกษาซึ่งเปลี่ยนแปลงค่าได้มากกว่า 1 ค่า
เช่น เพศ แบ่งเป็น ชาย กับ หญิง อายุ แบ่ง เป็น 15 ปี 16 ปี 17 ปี .......
ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย มี 3 ประเภท คือ
1. ตัวแปรต้น หรือตัวแปรอิสระ (Independent Variable) เป็นตัวแปรที่เกิดก่อน หรือ เป็น
ตัวแปรที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดผลตามมา
2. ตัวแปรตาม (Dependent Variable) เป็นตัวแปรที่เกิดทีหลัง หรือ เป็นตัวแปรที่เป็น ผลมา
จากการกระทำของตัวแปรต้น และ มักเป็นตัวแปรที่ผู้วิจัยสนใจศึกษา
ตัวอย่างการกำหนดตัวแปรต้น ตัวแปรตาม
นักเรียนเพศชายกับเพศหญิงมีความสนใจในการอ่านข่าวกีฬาแตกต่างกัน
ตัวแปรต้น คือ เพศ
ตัวแปรตาม คือ ความสนใจในการอ่านข่าวกีฬา
3. ตัวแปรเกิน หรือตัวแปรแทรกซ้อน (Extraneous Variable) เป็นตัวแปรที่ส่งผลต่อตัวแปร
ตามแต่ผู้วิจัยไม่ต้องการศึกษา ถ้าไม่ควบคุมไว้จะทำให้ผลการวิจัยคลาดเคลื่อน บางครั้ง
เรียกว่า ตัวแปรควบคุม (control Variable)
ตัวอย่างการกำหนดตัวแปรต้น ตัวแปรตาม ตัวแปรควบคุม
นักเรียนที่เรียนด้วยวิธีสอนแบบนิรนัยมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่านักเรียนที่เรียน
ด้วยวิธีปกติ
ตัวแปรต้น คือ วิธีสอน
ตัวแปรตาม คือ ผลสัอนมฤทธิ์ทางการเรียน
ตัวแปรเกืน คือ สติปัญญาของนักเรียน ความสามารถในการสอนของครู
การนิยามตัวแปร
เมื่อผู้วิจัยกำหนดตัวแปรที่ต้องการทำวิจัยแล้ว ต้องให้นิยามความหมายตัวแปรให้ชัดเจน เพื่อประโยชน์ในการสร้างเครื่องมือวิจัย การให้นิยามตัวแปร ทำได้ 2 ลักษณะ คือ
1. นิยามทั่วไป (Genneral Deffinition) เป็นการอธิบายความหมายตัวแปรตามพจนานุกรม ตามทฤษฎี หรือตามที่ผู้เชี่ยวชาญกำหนด เช่น
ความคิดเห็น หมายถึง ความคิด ความเชื่อ หรือ มุมมองของบุคคลที่มีต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด
2. นิยามปฏิบัติการ(Operational Deffinition) เป็นการอธิบายความหมายตัวแปรให้มีลักษณะเฉพาะเจาะจงเป็นรูปธรรม โดยระบุตัวบ่งชี้ของสิ่งที่ ต้องการศึกษาอย่างชัดเจน ใช้ในการนิยามตัวแปรตาม เช่น
ความคิดเห็นที่มีต่อการจัดการเรียนการสอน หมายถึง ความคิด หรือมุมมองของนิสิตมหาวิทยาลัยราชภัฏที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนของอาจารย์ 4 ด้าน คือ ด้านการเตรียมการสอน ด้านการดำเนินการสอน ด้านการใช้สื่อ และด้านการวัดประเมินผล